วิธีการปลูกมะเขือเทศแบบอินทรีย์

เคล็ดลับและเทคนิคแบบละเอียดเพื่อผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์

มะเขือเทศเป็นผักที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการปลูกแบบอินทรีย์ ด้วยรสชาติที่หอมหวานและคุณค่าทางโภชนาการสูง การปลูกมะเขือเทศแบบอินทรีย์ไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย บทความนี้จะแนะนำวิธีการปลูกมะเขือเทศแบบอินทรีย์อย่างละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับมะเขือเทศสดใหม่จากสวนของคุณเอง

1. การเลือกพันธุ์มะเขือเทศ

การเลือกพันธุ์มะเขือเทศที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญมาก เพราะจะส่งผลต่อความสำเร็จในการปลูกและคุณภาพของผลผลิต

1.1 ปัจจัยในการเลือกพันธุ์

  • สภาพภูมิอากาศ: เลือกพันธุ์ที่เหมาะกับอุณหภูมิและความชื้นในพื้นที่ของคุณ
  • พื้นที่ปลูก: พิจารณาว่าคุณจะปลูกในสวนกลางแจ้ง กระถาง หรือระเบียง
  • ระยะเวลาการเจริญเติบโต: เลือกพันธุ์ที่มีระยะเวลาการเจริญเติบโตเหมาะกับฤดูกาลปลูกในพื้นที่ของคุณ
  • ความต้านทานโรค: หาพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคที่พบบ่อยในพื้นที่ของคุณ
  • วัตถุประสงค์การใช้งาน: พิจารณาว่าคุณต้องการปลูกเพื่อรับประทานสด ทำซอส หรือถนอมอาหาร

1.2 ประเภทของมะเขือเทศ

มะเขือเทศพันธุ์ทอดยอด (Determinate):

  • เติบโตเป็นพุ่มเตี้ย
  • ให้ผลผลิตพร้อมกันในช่วงสั้นๆ
  • เหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่จำกัดหรือในกระถาง
  • ตัวอย่างพันธุ์: Roma, San Marzano, Celebrity

มะเขือเทศพันธุ์เลื้อย (Indeterminate):

  • เติบโตและให้ผลผลิตต่อเนื่องตลอดฤดูกาล
  • ต้องการการค้ำยันและการตัดแต่งกิ่ง
  • เหมาะสำหรับการปลูกในสวนที่มีพื้นที่กว้าง
  • ตัวอย่างพันธุ์: Beefsteak, Cherry, Heirloom varieties

1.3 พันธุ์มะเขือเทศยอดนิยมสำหรับการปลูกแบบอินทรีย์

  1. Cherry: ผลขนาดเล็ก รสหวาน เหมาะสำหรับรับประทานสด
  2. Roma: เนื้อแน่น เหมาะสำหรับทำซอสและถนอมอาหาร
  3. Beefsteak: ผลขนาดใหญ่ เนื้อนุ่ม เหมาะสำหรับทำแซนด์วิชและสลัด
  4. Heirloom: พันธุ์โบราณที่มีรสชาติเฉพาะตัว มีหลากหลายสีและรูปทรง

2. การเตรียมดินและพื้นที่ปลูก

การเตรียมดินที่เหมาะสมเป็นรากฐานสำคัญของการปลูกมะเขือเทศแบบอินทรีย์ที่ประสบความสำเร็จ

2.1 ลักษณะดินที่เหมาะสม

  • การระบายน้ำ: ดินต้องระบายน้ำได้ดี ไม่อุ้มน้ำจนแฉะ
  • ความอุดมสมบูรณ์: ดินควรอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ
  • ค่า pH: ควรอยู่ระหว่าง 6.0-6.8 (เป็นกลางถึงกรดอ่อนๆ)

2.2 ขั้นตอนการเตรียมดิน

1.ทดสอบดิน: ใช้ชุดทดสอบดินเพื่อตรวจสอบค่า pH และธาตุอาหารในดิน

2.ขุดและพรวนดิน:

  • ขุดดินลึกประมาณ 30-40 ซม.
  • พรวนดินให้ร่วนซุย กำจัดก้อนดินแข็งและเศษวัชพืช

3.ปรับปรุงดิน:

  • ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้วในอัตราส่วน 1:3 (ปุ๋ย:ดิน)
  • เพิ่มวัสดุปรับปรุงดินตามความเหมาะสม:
    • เปลือกไข่บด: เพิ่มแคลเซียม
    • กระดูกป่น: เพิ่มฟอสฟอรัส
    • ขี้เถ้าไม้: ช่วยปรับ pH และเพิ่มโพแทสเซียม

4.ปรับ pH: หากดินเป็นกรดมากเกินไป ให้เพิ่มปูนขาวเพื่อปรับ pH

5.พักดิน: ทิ้งดินไว้ 1-2 สัปดาห์ก่อนปลูก เพื่อให้จุลินทรีย์ในดินปรับตัว

2.3 การเตรียมพื้นที่ปลูก

  • แปลงยกร่อง: ทำแปลงยกร่องสูง 15-20 ซม. เพื่อช่วยในการระบายน้ำ
  • ระยะปลูก: วางแผนระยะห่างระหว่างต้น 60-90 ซม. ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
  • ทิศทาง: จัดแนวแปลงในทิศตะวันออก-ตะวันตก เพื่อให้ได้รับแสงแดดเต็มที่
  • ระบบน้ำ: ติดตั้งระบบน้ำหยดหรือวางแผนการรดน้ำ

3. การเพาะเมล็ดและการย้ายกล้า

การเพาะเมล็ดและการย้ายกล้าที่ถูกต้องจะช่วยให้ต้นมะเขือเทศของคุณแข็งแรงตั้งแต่เริ่มต้น

3.1 การเพาะเมล็ด

1.เลือกภาชนะ: ใช้ถาดเพาะหรือกระถางเล็กๆ ที่มีรูระบายน้ำ

2.เตรียมดินเพาะ:

  • ใช้ดินเพาะกล้าอินทรีย์ หรือผสมดินเองโดยใช้ พีทมอส เวอร์มิคูไลท์ และปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วน 1:1:1
  • อบดินในเตาอบที่อุณหภูมิ 180°C นาน 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรค (ทำเฉพาะกรณีที่กังวลเรื่องโรค)

3.หยอดเมล็ด:

  • หยอดเมล็ด 2-3 เมล็ดต่อหลุม ลึกประมาณ 0.5-1 ซม.
  • กลบดินบางๆ และพรมน้ำเบาๆ

4.ดูแลกล้า:

  • รักษาความชื้นโดยคลุมด้วยพลาสติกใสหรือกระจก
  • วางในที่อบอุ่น อุณหภูมิประมาณ 21-26°C
  • เมื่อเมล็ดงอก (ประมาณ 5-10 วัน) ให้เปิดพลาสติกออกและย้ายไปไว้ในที่มีแสงแดดอ่อนๆ

3.2 การดูแลต้นกล้า

  • แสง: ให้แสงเป็นเวลา 14-16 ชั่วโมงต่อวัน หากแสงธรรมชาติไม่เพียงพอ ใช้ไฟเสริม
  • น้ำ: รักษาความชื้นของดินให้สม่ำเสมอ แต่ไม่แฉะ
  • อุณหภูมิ: รักษาอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 18-24°C
  • การหมุนเวียนอากาศ: ใช้พัดลมขนาดเล็กเป่าเบาๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตของลำต้นที่แข็งแรง

3.3 การย้ายกล้า

1.เวลาที่เหมาะสม: ย้ายกล้าเมื่อมีใบจริง 2-3 คู่ (ประมาณ 4-6 สัปดาห์หลังเพาะ)

2.การเตรียมต้นกล้า:

  • งดน้ำ 12-24 ชั่วโมงก่อนย้าย เพื่อให้ดินแห้งและจับตุ้มรากได้ง่าย
  • นำต้นกล้าออกจากถาดเพาะอย่างระมัดระวัง โดยไม่ให้รากเสียหาย

3.การปลูก:

  • ขุดหลุมลึกพอที่จะฝังต้นกล้าลงไปถึงใบคู่แรก
  • วางต้นกล้าลงในหลุม กลบดินและกดเบาๆ รอบโคนต้น
  • รดน้ำให้ชุ่มทันทีหลังปลูก

4.การปรับตัว:

  • ให้ร่มเงาแก่ต้นกล้าในช่วง 3-5 วันแรกหลังย้ายปลูก โดยใช้ตาข่ายพรางแสงหรือกระดาษหนังสือพิมพ์
  • ค่อยๆ เพิ่มการรับแสงแดดทีละน้อยจนต้นกล้าแข็งแรงพอที่จะรับแสงแดดเต็มที่ได้

4. การดูแลรักษา

การดูแลรักษาที่เหมาะสมเป็นกุญแจสำคัญสู่การได้ผลผลิตมะเขือเทศที่มีคุณภาพสูง

4.1 การให้น้ำ

  • ความถี่: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงติดดอกออกผล
  • ปริมาณ: ให้น้ำลึกและทั่วถึง ประมาณ 1-2 นิ้วต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
  • เวลา: รดน้ำในตอนเช้าเพื่อให้ใบแห้งก่อนค่ำ ลดความเสี่ยงของโรคราน้ำค้าง

วิธีการ:

  • หลีกเลี่ยงการให้น้ำบนใบ ใช้ระบบน้ำหยดหรือรดน้ำที่โคนต้น
  • ใช้ฟางหรือหญ้าแห้งคลุมโคนต้นเพื่อรักษาความชื้น

4.2 การให้ปุ๋ย

  • ประเภทปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก น้ำหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยมูลไส้เดือน
  • ความถี่: ให้ปุ๋ยทุก 2-3 สัปดาห์ในช่วงการเจริญเติบโต
  • ปริมาณ: ใช้ปุ๋ยในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง ดีกว่าการให้ปริมาณมากแต่นานๆ ครั้ง

สูตรปุ๋ย:

  • ช่วงเริ่มต้น: ใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบและลำต้น
  • ช่วงออกดอกและติดผล: เพิ่มปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง

วิธีการให้ปุ๋ย:

  • ปุ๋ยน้ำ: เจือจางและรดรอบโคนต้น
  • ปุ๋ยแห้ง: โรยรอบโคนต้นและคลุกเบาๆ กับดินชั้นบน

4.3 การค้ำยัน

เวลาที่เหมาะสม: เริ่มค้ำยันเมื่อต้นมะเขือเทศสูงประมาณ 30 ซม.

วิธีการ:

  1. ใช้ไม้ค้ำหรือโครงตาข่ายเพื่อพยุงลำต้นและกิ่ง
  2. ผูกลำต้นกับไม้ค้ำด้วยเชือกนุ่มๆ เป็นรูปเลข 8 เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
  3. ตรวจสอบและปรับการค้ำยันเป็นประจำเมื่อต้นเติบโตขึ้น

ประเภทของการค้ำยัน:

  • ไม้ค้ำเดี่ยว: เหมาะสำหรับพันธุ์ทอดยอด (Determinate)
  • โครงตาข่าย: เหมาะสำหรับพันธุ์เลื้อย (Indeterminate)
  • กรงมะเขือเทศ: ใช้ได้ทั้งสองประเภท สะดวกในการดูแล

4.4 การตัดแต่งกิ่ง

  • พันธุ์ทอดยอด (Determinate): ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งมาก เพียงกำจัดใบที่เป็นโรคหรือเหี่ยวแห้ง
  • พันธุ์เลื้อย (Indeterminate):
  1. กำจัดหน่อที่เกิดตามซอกใบ (Suckers) เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของลำต้นหลัก
  2. ตัดใบล่างที่เหลืองหรือเป็นโรคทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  3. จำกัดจำนวนกิ่งหลักให้เหลือ 2-3 กิ่งต่อต้น เพื่อให้ผลมีขนาดใหญ่และคุณภาพดี
  • เวลาที่เหมาะสม: ตัดแต่งในช่วงเช้าของวันที่แห้ง เพื่อให้แผลแห้งเร็วและลดความเสี่ยงของโรค

5. การป้องกันและกำจัดศัตรูพืชแบบอินทรีย์

การจัดการศัตรูพืชแบบอินทรีย์เน้นการป้องกันและการใช้วิธีธรรมชาติในการควบคุม

5.1 วิธีป้องกัน

1.การปลูกพืชหลากหลายชนิด:

  • ปลูกพืชสมุนไพรไล่แมลง เช่น ตะไคร้ ดาวเรือง กะเพรา หรือโหระพา ใกล้กับแปลงมะเขือเทศ
  • ปลูกดอกไม้ที่ดึงดูดแมลงที่เป็นประโยชน์ เช่น ผึ้ง และแมลงเบียน

2.การหมุนเวียนพืช: สลับชนิดพืชที่ปลูกในแต่ละฤดูกาล เพื่อลดการสะสมของโรคและแมลงศัตรูพืช

3.การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม:

  • รักษาความสะอาดในแปลงปลูก กำจัดเศษซากพืชที่เป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรค
  • ให้น้ำอย่างเหมาะสม หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่โรครากเน่า

4.การใช้วัสดุคลุมดิน: คลุมดินด้วยฟาง หญ้าแห้ง หรือพลาสติกคลุมแปลง เพื่อป้องกันวัชพืชและรักษาความชื้น

5.การติดตั้งกับดัก:

  • ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองเพื่อดักจับแมลงบินขนาดเล็ก เช่น เพลี้ยอ่อน แมลงหวี่ขาว
  • ติดตั้งกับดักแสงไฟล่อแมลงกลางคืน

5.2 วิธีกำจัดแบบอินทรีย์

1.การกำจัดด้วยมือ: สำหรับแมลงขนาดใหญ่ เช่น หนอนกระทู้ หรือด้วงเจาะผล

2.การใช้น้ำฉีด: ฉีดน้ำแรงๆ เพื่อกำจัดเพลี้ยอ่อนและไรแดง

3.สารสกัดธรรมชาติ:

  • น้ำสบู่อ่อน: ผสมสบู่อ่อน 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 ลิตร ฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลงขนาดเล็ก
  • น้ำหมักสะเดา: ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชหลายชนิด
  • น้ำส้มสายชูผสมน้ำ: ฉีดพ่นเพื่อป้องกันโรคราน้ำค้าง

4.การใช้จุลินทรีย์:

  • เชื้อ Bacillus thuringiensis (BT): ใช้ควบคุมหนอนผีเสื้อ
  • เชื้อราไตรโคเดอร์มา: ป้องกันโรคเชื้อราในดิน

5.การใช้พืชสมุนไพร:

  • น้ำหมักข่า: ใช้ป้องกันโรคเชื้อราและแมลงศัตรูพืช
  • น้ำหมักกระเทียม: ใช้ไล่แมลงและป้องกันโรคพืช

6. การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

การเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวที่ดีจะช่วยรักษาคุณภาพของมะเขือเทศและยืดอายุการเก็บรักษา

6.1 การเก็บเกี่ยว

1.ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว:

  • มะเขือเทศพันธุ์เร็ว (Early varieties): 50-60 วันหลังปลูก
  • มะเขือเทศพันธุ์กลาง (Mid-season varieties): 70-80 วันหลังปลูก
  • มะเขือเทศพันธุ์ช้า (Late-season varieties): 90-100 วันหลังปลูก

2.วิธีการเก็บเกี่ยว:

  1. เก็บเกี่ยวเมื่อผลมีสีแดงสด หรือเริ่มเปลี่ยนสีตามสายพันธุ์ (เช่น สีเหลือง สีส้ม หรือสีม่วง)
  2. ใช้กรรไกรตัดขั้วผลเพื่อป้องกันการช้ำ
  3. เก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือเย็นเมื่ออากาศเย็น เพื่อรักษาคุณภาพของผลผลิต

3.ความถี่ในการเก็บเกี่ยว:

  • เก็บเกี่ยวทุก 1-2 วันในช่วงที่ผลผลิตออกมาก
  • การเก็บเกี่ยวอย่างสม่ำเสมอจะกระตุ้นการออกผลใหม่

6.2 การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว

1.การทำความสะอาด:

  • เช็ดผลมะเขือเทศด้วยผ้าสะอาดเพื่อกำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรก
  • หลีกเลี่ยงการล้างน้ำ เว้นแต่จำเป็น เพราะความชื้นอาจทำให้เกิดเชื้อรา

2.การคัดเกรด:

  • แยกมะเขือเทศตามขนาด สี และคุณภาพ
  • คัดแยกผลที่มีตำหนิหรือเป็นโรคออก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

3.การบ่ม (สำหรับมะเขือเทศที่เก็บเกี่ยวขณะยังไม่สุกเต็มที่):

  • วางมะเขือเทศในที่ร่ม อุณหภูมิห้อง (20-25°C)
  • จัดเรียงในกล่องหรือถาดที่มีการระบายอากาศดี โดยไม่ให้ผลซ้อนทับกัน
  • ตรวจสอบทุกวันและคัดแยกผลที่สุกแล้วออก

4.การเก็บรักษา:

  • มะเขือเทศสุก: เก็บที่อุณหภูมิห้อง (20-25°C) นาน 3-5 วัน
  • มะเขือเทศกึ่งสุก: เก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 10-15°C นานถึง 2 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการเก็บมะเขือเทศในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10°C เพราะจะทำให้เสียรสชาติและเนื้อสัมผัส

5.การแปรรูป:

  • ทำซอสมะเขือเทศ
  • ตากแห้งหรืออบแห้ง
  • แช่แข็งเป็นชิ้นหรือบด

6.3 เคล็ดลับการยืดอายุการเก็บรักษา

  • เก็บมะเขือเทศโดยให้ขั้วผลชี้ขึ้น เพื่อลดการช้ำ
  • ไม่ควรล้างมะเขือเทศก่อนเก็บ ให้ล้างเมื่อพร้อมรับประทานเท่านั้น
  • เก็บแยกจากผลไม้ที่ปล่อยก๊าซเอทิลีน เช่น แอปเปิ้ล กล้วย เพื่อชะลอการสุก
  • ใช้ถุงกระดาษแทนถุงพลาสติกในการเก็บรักษา เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี

7. การแก้ไขปัญหาที่พบบ่อย

แม้จะดูแลอย่างดี แต่อาจพบปัญหาในการปลูกมะเขือเทศ ต่อไปนี้เป็นวิธีแก้ไขปัญหาที่พบบ่อย:

1.ใบเหลืองหรือเหี่ยว:

  • สาเหตุ: ขาดน้ำ, ขาดธาตุอาหาร, โรคเหี่ยวเขียว
  • วิธีแก้: ตรวจสอบการให้น้ำ, เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์, ตัดส่วนที่เป็นโรคทิ้ง

2.ผลแตกหรือมีรอยปริ:

  • สาเหตุ: การให้น้ำไม่สม่ำเสมอ, อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
  • วิธีแก้: รักษาความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ, ใช้วัสดุคลุมดิน

3.ดอกร่วงโดยไม่ติดผล:

  • สาเหตุ: อุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไป, ขาดการผสมเกสร
  • วิธีแก้: ใช้ผ้าพรางแสงในช่วงอากาศร้อนจัด, เขย่าต้นเบาๆ เพื่อช่วยผสมเกสร

4.ผลเน่าที่ก้นผล (Blossom End Rot):

  • สาเหตุ: ขาดแคลเซียม, การให้น้ำไม่สม่ำเสมอ
  • วิธีแก้: เพิ่มแคลเซียมในดิน (เช่น ใช้เปลือกไข่บด), ปรับการให้น้ำให้สม่ำเสมอ

5.แมลงศัตรูพืชรบกวน:

  • สาเหตุ: เพลี้ยอ่อน, หนอนเจาะผล, แมลงวันทอง
  • วิธีแก้: ใช้วิธีกำจัดแบบอินทรีย์ตามที่กล่าวไว้ในหัวข้อ 5.2

บทสรุป

การปลูกมะเขือเทศแบบอินทรีย์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความเข้าใจในธรรมชาติและความใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ การเตรียมดิน ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว แม้อาจพบอุปสรรคบ้าง แต่ด้วยความอดทนและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คุณจะสามารถเพลิดเพลินกับการปลูกมะเขือเทศอินทรีย์ที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยต่อสุขภาพ

การปลูกมะเขือเทศแบบอินทรีย์ไม่เพียงแต่ให้ผลผลิตที่มีรสชาติดีและคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ยังเป็นการสนับสนุนระบบเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการลดการใช้สารเคมี คุณกำลังมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ระบบนิเวศและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในสวนของคุณ

เริ่มต้นการเดินทางสู่การเป็นเกษตรกรอินทรีย์มือสมัครเล่นด้วยการปลูกมะเขือเทศวันนี้ และสัมผัสกับความภาคภูมิใจในการสร้างอาหารที่มีคุณภาพด้วยมือของคุณเอง!

บทความก่อนหน้านี้เกษตรกรมือใหม่ปลูกกัญชาอย่างไรให้ถูกกฎหมาย
บทความถัดไปแอปพลิเคชัน AI ตรวจจับโรคพืช
ผมชื่ออดิศักดิ์ เหล่าพิมพ์ครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในการทำเกษตร ผมจึงขอนำความรู้และประสบกาณ์ที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ มาแบ่งปันให้กับผู้ที่สนใจนะครับ ทั้งในเว็บไซต์ยังมีความรู้เกี่ยวกับเทรนด์เกษตรในอนาคตและรีวิวหนังสือเกษตรที่ส่งตรงถึงหน้าจอ และพิเศษสุดวิดีโอความรู้ครบเครื่องเรื่องเกษตรอินทรีย์ที่ช่อง Organic farm TV ฝากกดติดตามด้วยนะครับ